เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่น

อุดม รุ่งเรืองศรี (2542 : 4746-4757) ได้กล่าวถึงเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ ซึ่งเป็นงานเขียนที่ขยายขอบเขตขึ้นจากข้อมูลหลักที่เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับคณะทำงานจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยมีศาสตราจารย์คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต เป็นประธานคณะทำงานจากสำนักงานคณะทำงาน ซึ่งอาจารย์กุลวดี เจริญศรี และผู้เรียบเรียงเป็นกรรมการ โดยประสงค์ที่จะสอบค้นหาเพลงกล่อมเด็กและเพลงที่เด็กใช้ร้องเล่นในภาคเหนือ

1. ประวัติความเป็นมาของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ

เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ คือในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอนมีปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมพื้นบ้านเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันถึงช่วงเวลาที่เพลงเหล่านั้นประเพณีความเชื่อที่เก่าแก่และมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคนไทยเผ่าอื่นได้ด้วย ปัจจุบันนี้เห็นได้ว่าผู้ที่พอจะรู้เรื่องเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นเหล่านั้นมักจะมีไม่น้อยกว่า 50 ปี และจำนวนผู้รู้ดังกล่าวก็นับวันจะลดน้อยลงตามลำดับ

2. ลักษณะของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่น

2.1 ฉันทลักษณ์

ฉันทลักษณ์ของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ มีลักษณะร่วมกับเพลงลักษณะเดียวกันในกลุ่มชนเผ่าไทย ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นลักษณะสากลก็ได้ กล่าวคือบทเพลงเหล่านั้นจะไม่มีการกำหนดความยาวที่แน่นอน ความยาวของบทเพลงขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่พรรณนา โดยปกติเพลงเหล่านั้นจะแบ่งเป็นวรรค เพื่อให้สะดวกต่อการขับขาน และโดยทั่วไปมักจะมีความยาววรรคละ 4คำ ที่น่าสังเกตก็คือในการส่งสัมผัสนั้น มักเป็นการสัมผัสเสียงสระหรือเสียงวรรณยุกต์ และไม่เคร่งครัดที่จะต้องส่งสัมผัสกันด้วยเสียงตัวสะกดหรือตัวสะกด

2.2 ทำนอง

ท่วงทำนองในการขับขานเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นนี้ อาจจัดเป็นสองประการใหญ่ๆ คือ

  • ทำนองอื่อ เป็นทำนองที่มาจากเสียงซึ่งเปล่งเสียงหึ่งออกทางจมูก ให้มีเสียงสูงต่ำตามต้องการ ใช้เปล่งประกอบการขับเพลง นิยมใช้กับเพลงกล่อมเด็ก และทำนองอื่อนี้อาจจะแยกได้เป็นสองแบบ คือการอื่อแบบง่ายตามที่ชาวบ้านทั่วไปพอจะขับได้ และการอื่อแบบที่ใช้ทำนองธรรมวัตร หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะตนในการขับทำนองเทศนาแบบล้านนาประกอบ
  • ทำนองร่ำ (ฮ่ำ) คือทำนองที่ขับขานบทเพลงตามจังหวะโดยเอื้อนเสียงทอดยาวที่พยางค์สุดท้ายของวรรค และเปล่งเสียงขึ้นลงตามระดับสูงต่ำของเสียงวรรณยุกต์
  • ทำนองร่วมสมัย คือจะมีการขับเพลงตามสมัยนิยมซึ่งในยุคก่อนอาจขับจ๊อย หรือซอแบบต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมกันในขณะนั้น และยุคปัจจุบันอาจขับเพลง ซึ่งเป็นที่นิยมกันอยู่เป็นเพลงกล่อมเด็กก็ได้

2.3 จุดมุ่งหมาย

เพลงกล่อมเด็ก มีจุดประสงค์คือ
  • เพื่อให้เด็กได้รับรู้ถึงความรักของผู้กล่อมอันสัมผัสได้จากกระแสเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวล
  • เพื่อให้เด็กหลับด้วยการประโลมให้เพลินใจ
  • เพื่อให้เด็กหลับด้วยการขู่ให้หวาดกลัว
เพลงร้องเล่นของเด็ก มีจุดประสงค์คือ
  • เพื่อให้เด็กได้ฝึกการออกเสียงและการขับร้องจากเพลงที่มีทำนองสนุกสนา
  • เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ

2.4 ความเปลี่ยนแปลงของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่น

เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องของภาคเหนือซึงเป็นมรดกที่สร้างขึ้นจากวัฒนธรรมพื้นบ้านที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาทั้งในแง่คิดและการแสดงออก เมื่อเผชิญกับวัฒนธรรมวัตถุแบบปัจจุบันแล้ว ทำให้เพลงเด็กดังกล่าวเสื่อมความนิยมลงทั้งด้านบทบาทการใช้งานและความรู้ที่ถูกต้องต่อทั้งเนื้อเรื่องและทำนองของเพลงเหล่านั้น จนทำให้เกิดความวิตกกันว่าทั้งเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นเหล่านั้นจะสูญหายไปในที่สุด

3. การนำเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นไปใช้

การนำเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือไปใช้นั้นเป็นไปอย่างไม่แพร่หลาย ทั้งนี้อาจมีเด็กตามหมู่บ้านบางแห่งที่ร้องเพลงเล่นอยู่บ้างหรืออาจมีแม่เฒ่าบางท่านที่ร้องเพลงกล่อมหลานเท่านั้น หากจะมีการนำเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นมาใช้แล้ว อาจดำเนินได้ดังนี้

  1. รวบรวมเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นจากแหล่งต่างๆ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วเผยแพร่เพลงเหล่านั้นในรูปของเอกสาร
  2. ส่งเสริมให้ใช้เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นอย่างกว้างขวาง เช่น อาจจัดทำเทปตลับของเพลงเหล่านั้นเพื่อใช้ในโรงเรียนอนุบาล หรือทำหนังสือภาพ เป็นต้น
  3. ร่วมมือกับสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ในการเผยแพร่เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่น
  4. จัดประกวดเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นทั้งแบบเก่าและที่แต่งขึ้นใหม่

สรุปลักษณะของเพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่นภาคเหนือ

  1. มีฉันทลักษณ์ที่ไม่ตายตัว ความยาวไม่แน่นอน และมีการส่งสัมผัสที่ไม่เคร่งครัด ซึ่งเป็นไปตามลักษณะของวรรณกรรม มุขปาฐะทั่วไป
  2. ภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทยแท้ที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
  3. มีการกร่อยและการเพิ่มของคำและเนื้อหาในเพลง
  4. เนื้อหาของเพลงมักกล่าวถึงสภาพแวดล้อมทั้งในธรรมชาติและในสังคมอย่างตรงไปตรงมา โดยมีอารมณ์หลักคือแสดงความรักและห่วงใย มักไม่มีอารมณ์เศร้า เสียใจ โกรธแค้นหรือเพ้อฝัน
  5. เนื้อหาของเพลงชัดเจนและตรงไปตรงมาคือ เพลงกล่อมเด็กก็จะมุ่งชักจูงให้เด็กหลับ ส่วนเพลงร้องเล่น ก็จะกล่าวถึงเรื่องที่สนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่นิยมเรื่องนิยาย นิทานหรือชาดก
  6. เพลงกล่อมเด็ก สามารถจำแนกตามคำขึ้นต้นของเนื้อร้องได้ 12 แบบ ส่วนเพลงร้องเล่น อาจจำแนกตามคำขึ้นต้นของเนื้อร้องได้ 4 แบบ
  7. บางเพลงเมื่อสืบจากภาษาและเนื้อหาแล้วอาจสันนิษฐานได้ว่ามีอายุประมาณ 80-200 ปี
  8. เพลงกล่อมเด็กและเพลงเด็กร้องเล่นนี้ เมื่อดูจากปริมาณแล้วเห็นว่าเป็นเพลงที่ใช้ อื่อ คือเพลงที่ใช้ขับกล่อมให้เด็กหลับ และเพลงสิกชุ่งชา หรือเพลงที่เด็กใช้ประกอบการเล่นชิงช้า โดยที่มีเพลงเด็กเล่นเพียงไม่กี่เพลง แต่ต่อมาแล้วเห็นว่ามีการใช้เพลงต่างๆ ร่วมสมัยเป็นเพลงเด็กไดด้วยโดยไม่จำกัด

ทั้งนี้ได้นำเพลงของเด็กมาแสดงไว้เพื่อการศึกษาดังนี้

เพลงกล่อมเด็ก
เพลงกล่อมเด็กที่มักเรียกเพลงอื่อ หรืออื่อชาชา (อ่าน “อื่อ จา จา”) คำว่า “อื่อ” หมายถึงเพลงที่ขับโดยมีการ “อื่อ” คือส่งเสียงหึ่งจากลำคอให้ดังออกมาทางจมูกและมักจะทอดเสียงท้ายว่า ชา หรือ ชาชา เป็นทำนองต่างๆ ไป เพื่อให้เกิดเสียงนุ่มนวล ซึ่งถือว่าสามารถชวนให้เด็กหลับได้ง่าย (ชา นอกจากแปลว่าหาบและยังแปลว่ากล่อมหรือขับกล่อมได้อีกด้วย)
เพลงสิกก้องกอ (อ่าน “สิกก้องก๋อ”)
เพลงสิกก้องกอ เป็นเพลงที่ใช้ประกอบการเล่นกับเด็กโดยเฉพาะเด็กทารก โดยมากฝ่ายพ่อจะเป็นผู้ใช้ ซึ่งพ่อจะนอนหงายแล้วงอเข้าพับเข้า ให้เด็กนั่งอยู่บนหลังเท้าแล้วกอดเข่าพ่อไว้ ขณะที่พ่อร้องเพลงสิกก้องกอไปแต่ละวรรคนั้น พ่อจะยกขาขึ้นลงไปเรื่อยๆ จนถึงวรรคสุดท้ายที่ว่า ตะล่มพ่มพ่ำ ทั้งพ่อทั้งลูกมักจะล้มลงไปด้วยกัน
เพลงเล่นชิงช้า
เพลงเล่นชิงช้า หรือ เพลงสิกชุ่งชา (อ่าน “สิกจุ้งจา”) เป็นจังหวะตามการไกวชิงช้า เพลงในกลุ่มนี้พบว่ามีอยู่ เป็นเพลงที่เด็กหรือใช้กับเด็กในขณะไกวชิงช้า ทั้งนี้เด็กที่โต หลายเพลง เช่น แล้วมักจะนั่งบนแป้นชิงช้าแล้วโล้ไป-กลับพร้อมกับขับเพลง
เพลงเด็กร้องเล่น
เพลงในประเภทที่ให้เด็กใช้ร้องเล่นนี้อาจร้องเล่นยามว่าง หรืออาจใช้ร้องประกอบกับการเล่นชิงช้าก็ได้
เพลงสำหรับเล่นจ้ำจี้
เพลงสำหรับเล่นจ้ำจี้ เป็นเพลงที่ใช้เพื่อคัดหาผู้มาทำการบางอย่าง เช่น ปิดตาเพื่อเล่นซ่อนหา เป็นต้น เช่น
  1. ปู่พงข้ามท่งข้ามนา ตีกลองปูชา เอาอี่พาออกก่อน
  2. ปะเปิ้มใบพลู คนใดมาชู เอามือออกก่อน
  3. เมื่อเหลือสองคนสุดท้ายแล้ว ก็มักจะร้องว่า “สองฅนพี่น้อง กินเข้ากับเกลือ ฅนใดเหลือ ฅนนั้นได้อุ่ม”
เพลงสำหรับร้องยั่ว
เพลงสำหรับร้องยั่วนี้ จะเลือกใช้ตามเหมาะสม เช่น ยั่วคนฟันหลอ เป็นต้น

รายการอ้างอิง

อุดม รุ่งเรืองศรี. 2542. “เพลงกล่อมเด็กและเพลงร้องเล่น.” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 9. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.

บทความอื่นเกี่ยวกับเพลงล้านนา | ไปหน้าฟังเพลง