|
|
พริกไทย
|
|
| พริกน้อย โฮ่วเจีย (จีน) (วุฒิ วุฒิธรรมเวช, 2540, 314; กัญจนา ดีวิเศษ และคณะ, 2542, 165) | |
|
| ต้น เป็นพรรณไม้เถาเลื้อยเป็นสีเขียวตลอดปี ลำต้นมีความสูงประมาณ 5 เมตร รากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดเกาะพันกับไม้ค้าง หรือพืชอื่นๆ เถาจะมีข้อปล้องเห็นได้ชัด
ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ลักษณะใบจะรีใหญ่ มีความยาว 8-16 ซม. และกว้าง 4-7 ซม. ตรงปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ท้องใบสีเขียวอมเทา และมีเส้นใบนูน ส่วนหลังใบสีเขียวเข้ม
ดอก จะออกเป็นช่อจากข้อ ช่อดอกสีขาว ยาวประมาณ 10 ซม. ส่วนก้านดอกร่วมยาวพอๆ กับก้านใบ
ผล มีลักษณะกลม จะออกเป็นพวง เป็นช่อทรงกระบอกกลมยาว ช่อผลนั้นสีเขียว ส่วนผลแก่สีเหลืองและสีแดง ภายในมีเมล็ดกลม เมล็ดเดี่ยว (กัญจนา ดีวิเศษ และคณะ, 2542, 165)
แหล่งปลูกแรก ๆ ปลูกมากบริเวณชายฝั่งตะวันออก ได้แก่ จันทบุรี และตราด ต่อมาขยายพื้นที่เพาะปลุกมายังภาคใต้ จังหวัดตรัง มีชื่อเป็นแหล่งพริกไทยคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของตลาดยุโรปมาก ในสมัยรัชกาลที่ 2 ฝรั่งรูจักกันในนาม พริกไทยตรัง (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, 2547, 168)
พริกไทยขาวกับพริกไทยดำ เป็นเพียงกรรมวิธีการเตรียมที่แตกต่างกัน มิใช่พริกไทยต่างพันธุ์ พริกไทยขาวคือพริกไทยดำลอกเปลือกออก ส่วนพริกไทยดำ คือพริกไทยสดตากแห้ง การทำพริกไทยดำนั้น ใช้พริกที่แก่เต็มที่ โดยสังเตว่าสีของเมล็ดนั้น ออกส้มหรือไม่ก็แดง ตากแดดทั้งซังบนลานซีเมนต์ เพื่อไล่ความชื้นออก จากนั้นนำมานวดเอาซังหรือรวงออกแล้วตากแดดอีกสัก 3 แดด จนเมล็ดแห้งดำ ระหว่างที่ตาก ต้องคอยเกลี่ยเมล็ดทุกวัน พอดำได้ที่แล้ว เอามาเข้าเครื่องฝัดฝุ่นละอองออก จึงจะบรรจุใส่กระสอบรอการจำหน่ายได้ (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, 2547, 168)
การทำพริกไทยขาว หรือพริกไทยล่อน ใช้พริกไทยที่มีผลสุกในหนึ่งรวงประมาณ 3-4 ผลขึ้นไป เลือกเก็บเฉพาะพริกหัวเหลืองเท่านั้น เอาพริกไทยทั้งหมดมากองสุม แล้วคลุมด้วยกระสอบให้อับ เพื่อให้พริกไทยเปื่อย บ่มไว้อย่างนี้ประมาณ 2-3 วัน พอมีกลิ่นเหม็น เอาออกมาแช่น้ำประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้เปลือกหลุดล่อนออกมา ล้างน้ำให้สะอาดจนหมดกาก นำไปตากแห้ง 3-4 แดดจัด (ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์, 2547, 168) | |
|
|
ไม่มีข้อมูลทางสารอาหาร
สำหรับทางอาหารนั้น เมล็ดอ่อน ใช้ใส่ผัดเผ็ดต่างๆ และผัดฉ่า เมล็ดแก่ตากแห้งใช้เป็นเครื่องเทศ เป็นเครื่องชูรสอาหารหลายอย่าง (กัญจนา ดีวิเศษ และคณะ, 2542, 165) ชาวล้านนาใช้เมล็ดแก่พริกไทยดำเป็นเครื่องปรุงพริกลาบ หรือน้ำพริกลาบ (ประธาน นันไชยศิลป์, 2550, สัมภาษณ์) |
ใบ รสเผ็ดร้อน แก้ลมจุกเสียดแน่น แก้ปวดมวนท้อง
ดอก รสร้อน แก้ตาแดง เนื่องจากความดันโลหิตสูง
เมล็ด รสเผ็ดร้อน แก้ลมอัมพฤกษ์ แก้ลมลั่นในท้อง บำรุงธาตุ แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้เสมหะเฟื่อง แก้มุตกิจ
เถา รสร้อน แก้อุระเสมหะ และแก้อติสาร
ราก รสร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง แก้ลมวิงเวียน และช่วยย่อยอาหาร (กัญจนา ดีวิเศษ และคณะ, 2542, 165; วุฒิ วุฒิธรรมเวช, 2540, 314)
| |
|
| ฤดูฝน (กัญจนา ดีวิเศษ และคณะ, 2542, 165) | |
|
|
|
|
กัญจนา ดีวิเศษ และคณะ, ผู้รวบรวม. (2542). ผักพื้นบ้านภาคกลาง. กัญจนา ดีวิเศษ บรรณาธิการ. นนทบุรี: โครงการพัฒนาตำรา สถาบันการแพทย์แผนไทย. ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์. (2547). สารานุกรมผัก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: แสงแดด. ประธาน นันไชยศิลป์. (2550). สัมภาษณ์. 3 กรกฎาคม. วุฒิ วุฒิธรรมเวช. (2540). สารานุกรมสมุนไพร: รวมหลักเภสัชกรรมไทย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. | |
|
|
|
|
|