Tha Thai Version Eng Version Eng  
     
˹á лླբͧҹ ླҹ ҹླҹ 㹾Ըաҹ ػФس ԧǢͧ
 
 
 
 
แบบสอบถามความคิดเห็น
 
Last update: 07/19/2012
 
 
สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
เว็บไซต์และฐานข้อมูลประเพณีล้านนา โดย
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และ
สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อนุญาตให้ใช้ได้ตาม
สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ
แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง
 
by
ประเพณีกินแขกแต่งงาน
วัฒนธรรมการเลือกคู่ครอง
            ในการเลือกคู่ของชาวล้านนา พ่อแม่ของฝ่ายหญิงเปิดโอกาสให้ลูกสาวได้พบปะกันกับชายหนุ่มอย่างอิสระ ผ่านประเพณีแอ่วสาว โดยฝ่ายชายไปแอ่วสาวในยามค่ำคืน หญิงสาวอยู่นอก
ประเพณีแอ่วสาว หรือออกมานั่งที่ห้องรับแขก ชานบ้าน ลานบ้านของตน นำงานบ้านออกมาทำด้วย เช่น ปั่นฝ้าย ผ่าหมาก จีบพลู ห่อเหมี้ยง ตำข้าว เพื่อรอฝ่ายชายมาเยี่ยมเยือนในยามค่ำคืน บรรยากาศการพูดคุยของฝ่ายชายและหญิง มีการโต้คารมด้วยถ้อยคำโวหารอันไพเราะ ที่จดจำกันมาเป็นบทจ๊อยและคำอู้บ่าวอู้สาว ซึ่งต้องใช้ไหวพริบในการโต้ตอบกัน เมื่อชอบพอตกลงปลงใจกันแล้ว บ่าวสาวหรือชายหญิงได้แตะเนื้อต้องตัวกัน เรียกว่า ผิดผี พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะให้ทางฝ่ายชายมา ใส่ผี เพื่อ กราบไหว้บรรพบุรุษของฝ่ายสาว คือผีปู่ย่า โดย
เซ่นไหว้ ด้วยเหล้าไห ไก่คู่ และเงินค่าใส่ผี ซึ่งแต่ละแห่งอาจจะมีธรรมเนียมแตกต่างกันบ้าง หลักจากนั้น จึงหามื้อจันทร์วันดีหรือฤกษ์งามยามด ีที่ฝ่ายชายจะเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิง หรือจัดพิธีแต่งงานตามประเพณีแบบล้านนา
การเลือกคู่ครองแบบผู้มีฐานะ
            บางครอบครัวที่มีสถานภาพทางสังคมสูงหรือมีฐานะร่ำรวย พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในตระกูล อาจจะเลือกคู่ครองโดยหมายหมั้นชายหนุ่มหญิงสาวที่มีฐานะศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เมื่อหญิงหรือชายพอใจผู้ใด จะบอกให้พ่อแม่ของตนรู้เสียก่อน พ่อแม่ก็จะไปสืบประวัติของอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเห็นดีเห็นงามด้วย เมื่อทั้งสองพร้อมที่จะอยู่กินด้วยกันเป็นครอบครัว ฝ่ายชายจะขอให้พ่อแม่ไปเจรจาสู่ขอหญิงจากพ่อแม่ฝ่ายหญิง เรียกว่า ไปฟู่ เมื่อทางฝ่ายหญิงไม่ขัดข้อง พ่อแม่ฝ่ายชายจะสู่ขอ โดยนำข้าวของสมบัติไปเป็นหลักประกัน เช่น ที่นา บ้าน สวน หรือเงินทองเครื่องประดับอันมีค่า เป็น เครื่องสู่ (อุดม รุ่งเรืองศรี และศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๔๒ หน้า ๒๕๗๘-๒๕๗๙) เมื่อสู่แล้ว หนุ่มสาว
ของสู่เหล่านั้น จะตกเป็นสมบัติของฝ่ายหญิง หลังจากนั้น เป็นการหาฤกษ์ยาม เพื่อทำพิธีหมั้นหมายและแต่งงานตามลำดับ
การเลือกคู่ครองแบบชาวบ้านทั่วไป
            ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปมักจะมีอิสระในการเลือกคู่ครองได้อย่างเต็มที่ บ่าวสาวบางคู่อาจใช้เวลาคบหากัน ๕-๖ ปีก็มี การเลือกคู่ครองแบบนี้ พ่อแม่ของบ่าวสาวจะเปิดโอกาสให้บ่าวสาวได้พบปะกันโดยการ แอ่วสาว ของบ่าวหรือฝ่ายชาย และพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือจัดการเลือกคู่ครองให้
 
            แอ่วสาว


            ในอดีตหญิงสาวชาวล้านนา เมื่อมีอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป เรียกว่า สาวจี๋ อยู่ในระดับที่จะมีคู่ครองได้ จะเริ่ม อยู่นอก อยู่ข่วง ออกข่วง คือการออกมาอยู่นอกในยามค่ำคืน โดยนำงานบ้านของตนเองมาทำด้วย บริเวณที่รับแขก (เติ๋นบ้าน) หรือลานบ้าน งานที่นำมาทำ เช่น สานกระบุง เย็บผ้า ผ่าหมาก ปั่นฝ้าย เพื่อรอบ่าวมาเยี่ยมเยือน (มณี พยอมยงค์, สัมภาษณ์, ๓ ธันวาคม ๒๕๕๒; บัวผัน แสงงาม, สัมภาษณ์, ๑๘มกราคม ๒๕๕๒)
ดังมีคำเล่าขานว่า ขณะที่สาวปั่นฝ้าย เสียงของเผื่อนปั่นฝ้ายดัง “แว้ๆ” เสมือนเป็นคำพูดเชื้อเชิญจากหญิงสาว ว่า “ปั่นฝ้ายแว้ๆ บ่แว่นี้ แล้วจะไปแว่ไหน” (บัวผัน แสงงาม, สัมภาษณ์, ๑๘มกราคม ๒๕๕๒)
สาวอยู่นอก รอบ่าวมาแอ่วหา
ขันหมากใช้สำหรับต้อนรับชายหนุ่มที่มาแอ่วหา
            หญิงสาวในสมัยก่อนพออายุย่าง ๑๒ ปีขึ้นไปมักนิยมเคี้ยวหมาก บริเวณเติ๋นบ้านจึงมีขันหมาก หรือแอ็บหมาก หญิงสาวมีแอ็บหมากเป็นของตัวเอง เรียกว่า ขันหมากสาว และเป็นขันหมากใช้สำหรับต้อนรับชายหนุ่มที่มาแอ่วหา (เยี่ยมเยือน) ตามธรรมเนียมล้านนา เมื่อลูกสาว อยู่นอก พ่อแม่จะเข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อไม่ให้บ่าวสาวรู้สึกอึดอัด ถ้ายังไม่นอน อาจจะเข้าห้องแอบฟังลูกสาวตัวเองคุยกับชายหนุ่มที่มาเยี่ยมเยือน ถ้ายังไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มนั้นเป็นคนดี พ่อแม่จะนอนไม่ค่อยหลับ คอยฟังเหตุการณ์ และทำเสียงกระแอมอยู่เนืองๆ จนกว่าแน่ใจว่าชายที่มาคุยกับลูกสาวเป็นคนดี พูดจาเป็นผู้ใหญ่ ถ้าได้บวชเรียนมาเป็น น้อย หรือ หนาน มักเป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่ฝ่ายหญิง เพราะถือเป็น คนสุก ได้รับการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว มีคุณธรรม จิตใจเยือกเย็น อดทนสูง (อุดม รุ่งเรืองศรี และศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๔๒, หน้า ๒๕๗๘)
   
            การไป แอ่วสาว คือ การไปจีบผู้หญิง นี้ ชายหนุ่มหรือบ่าวจะเดินทางไปแอ่วสาวตั้งแต่เวลา ๒ ทุ่มเป็นต้นไป ไม่ไปช่วงหัวค่ำ เพราะเกรงว่าจะเหยียบถ้วยน้ำพริก คือไปพบช่วงที่ครอบครัวสาวกำลังรับประทานอาหารเย็น (สงวน โชติสุขรัตน์, ๒๕๑๑, หน้า ๗๖) การอยู่นอกของฝ่ายหญิง บางครั้งสาวๆ อาจจะรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน ๒-๓ คน ตำข้าวที่ โรงมอง (โฮงมอง) คือโรงครกกระเดื่อง โดยมีเพื่อนสาวมาช่วยตำ เพราะการตำข้าวต้องใช้คนช่วยอย่างน้อย ๒ คน คนหนึ่งตำ คนหนึ่งคอยคนข้าวในครก การตำข้าวบางทีอาจจะไม่ตำเป็นจังหวะสม่ำเสมอเรียกว่า แดะหางมอง เมื่อบ่าวได้ยินสียง ก็จะเข้ามาพูดคุย และมาช่วยตำ เรียกว่า แอ่วสาวตำข้าว
            บ่าวแอ่วสาว อาจจะไปคนเดียวหรือไปกันเป็นกลุ่ม บางคนอาจจะมีเครื่องดนตรีติดตัวไป เช่น พิณเปี๊ยะ ซึง สะล้อ ในระหว่างเดินทางอาจจะจ๊อย ขับกลอนจีบสาวแบบล้านนาไปในระหว่างเดินทาง เช่น
 
สาวเหยสาว อ้ายมาฟู่น้อง หวังเป็นคู่ป้อง รอมแพง
ยามเดือนส่องฟ้า ดาวก็ดับแสง พี่เหลียงคอยแยง เคหาแห่งเจ้า
พี่บ่ฮักไผ เท่านายน้องเหน้า ในโขงชมพ โลกนี้
 
หรืออีกบทหนึ่ง ว่า
เดิกมาจ้อยร้อย น้ำย้อยปลายกลอน บ่าวน้อยตียวกอง (ถนน) เน้องหยังบ่เอิ้น
 
หรือเมื่อหญิงสาวไม่ต้อนรับ ดับไฟรีบเข้าห้องไปนอน บ่าวก็จะขับจ้อยประชดประชัน ว่า
สาวหลับเจ๊า กิ๋นขี้หมากอง บ่าวเฒ่าเตียวกอง กิ๋นจิ๊นไก่ต้ม
 
            การไปแอ่วสาว ส่วนมากบ่าวจะไปแอ่วสาวต่างหมู่บ้าน ต่างตำบล กล่าวคือไม่นิยมแอ่วสาวในหมู่บ้านเดียวกัน เพราะรู้นิสัยใจคอ และเห็นหน้ากันทุกวัน (อุดม รุ่งเรืองศรี และศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๔๒, หน้า ๒๕๗๙) ดังนั้นหนุ่มๆ จะผูกมิตร กับหนุ่มหมู่บ้านอื่นๆ เพื่อสืบว่าสาวเรือนไหนอยู่นอก คนไหนสวย คนไหนพูดจาดี รวยหรือจน และก็ให้ข้อมูลสาวหมู่บ้านตัวเองเป็นการตอบแทน การแอ่วสาวในช่วงแรกๆ อาจไปกัน ๒-๓ คน ในกลุ่มมักจะมีคนใจกล้า นำทางเข้าไปพูดคุยก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีคารมดี ที่เรียกว่า แอ่วสาว
ปากหม้อ คอหมื่น พูดเก่ง อาจหน้าตาไม่ดี แล้วคอยสังเกตว่า สาวจะชอบหนุ่มคนไหน จากการแสดงออกของคำพูดและสายตา และเมื่อรู้ว่าสาวชอบหนุ่มคนไหน เพื่อนๆที่ไปด้วยกัน ก็จะขอตัวไปแอ่วสาวบ้านหลังอื่น เพื่อเปิดโอกาสให้คุยกันอย่างอีสระ
            การแอ่วสาวในหมู่บ้านที่ห่างไกล ชายหนุ่มจำเป็นต้องพกอาวุธเพื่อป้องกันตัว เช่น “มีดซุย” หรือ “ดาบ” เพื่อป้องกันตัวระหว่างเดินทาง แต่เมื่อไปถึงบ้านสาวจะต้องนำอาวุธเหล่านั้นซ่อนไว้ข้างล่าง ตามโคนต้นไม้ พุ่มหญ้า ไม่นำติดตัวขึ้นบ้านสาว เพราะถือว่าไม่สุภาพ และไม่ให้เกียรติแก่สาว (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๔๔, หน้า ๔๓)
            พ่อน้อยเปี้ย เก่งการทำ ชาวบ้านยางหลวง ตำบลป่าแดด อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่(สัมภาษณ์, ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๑) เล่าให้ฟังว่า การแอ่วสาวของชาวแม่แจ่ม มีการแอ่วสาวที่เรียกว่า การแอ่วซาบ คือการไปแอ่วสาวในยามดึก เมื่อพ่อแม่เข้านอนแล้ว โดยบ่าวใช้ไม้หวายข้อง (ไม้หวายที่มีข้องอ) หรือทำเครื่องหมายเพื่อเป็นรหัสสอดเข้าช่องเสาเรือนตรงบริเวณที่สาวนอน หรือช่องพื้นเรือน เมื่อไม้หวายข้องถูกตัวสาว สาวจะใช้มือสัมผัสปลายไม้หวายที่ทำรหัสไว้แล้ว ที่โผล่จากพื้นเรือนขึ้นมา และแน่ใจโดยรหัสว่าเป็นชายที่ตัวเองหมายปอง สาวจะนอนคุยกันเบาๆ ผ่านช่องพื้นเรือน จึงเรียกว่า แอ่วซาบ หรือ แอ่วซาบฮูร่อง
 
            อู้สาว
            การอยู่นอก สาวจะต้องเตรียมขันหมาก สำหรับการเคี้ยวหมากของตนเอง และเตรียมไว้ต้อนรับบ่าวที่มาเยี่ยมเยือน การเริ่มแรกของการอู้สาว บ่าวสาวจะใช้หมากเป็นตัวช่วยในการสนทนากัน เป็นการแก้เขิน โดยสาวเริ่มต้นชวนบ่าวเคี้ยวหมากก่อน หรือบ่าวอาจจะขอเคี้ยวหมากก่อนที่จะเริ่มต้นคุยกัน
             เมื่อเดินทางถึงบ้านสาว บ่าวจะอยู่ข้างล่างคอยชะเง้อดูบนเรือนว่ามีบ่าวบ้านอื่นมาคุยกับสาวหรือไม่ หากมีบ่าวคนอื่นคุยอยู่แล้ว จะไม่ขึ้นบ้านหลังนั้น ถ้าขึ้นไปเรียกว่า ขึ้นซด ถือว่าไม่มีมารยาท แต่หากไม่มีใคร บ่าวจะนั่งหัวบันได เพื่อขออนุญาตขึ้นเรือนเสียก่อน การอู้สาวนั้น มักจะใช้คำที่เป็นปริศนา ซึ่งต้องตีความหมายให้ออก ว่าหมายถึงอะไร เช่น (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๔๔, หน้า ๔๔)

ถามสาวว่า
น้องกิ๋นเข้ากับอะหยัง
ถ้าสาวตอบว่า
น้องกิ๋นเข้ากับน้ำพริก
(แสดงว่าสาวไม่ชอบ เพราะคำว่า พริก หมายถึง  ปิ๊ก  แปลว่า กลับ ในภาษาล้านนา
ถ้าเกิดสาวตอบกลับมาว่า
น้องกิ๋นเข้ากับแกงแค
(แสดงว่าสาวชอบ เพราะคำว่า แค แปลว่าแล หมายถึงสาวแลดู ชื่นชอบอยู่นะ)
และถ้าสาวตอบว่า
น้องกิ๋นเข้ากับแก๋งบ่าฟัก
(แสดงว่าสาวมีความรักมาก เพราะว่า ฟัก แปลว่า รัก แสดงว่ามีใจชอบบ่าวที่พูดด้วย)
ถ้าสาวตอบว่า
กิ๋นข้าวกับม้าบ่เปนขี่
(ม้าบ่เปนขี่ ก็คือม้าหก เมื่อกลับคำว่าม้าหก ก็คือหมกฮ้า )
หรือถ้าอยากรู้ว่าสาวที่เราไปจีบชอบหนุ่มบ้านเดียวกันหรือหนุ่มต่างบ้านก็จะถามสาวว่า
น้องชอบกิ๋นหน่อเรียวกาว่าหน่อบุ่น
(หน่อเรียว หมายถึงหนุ่มบ้านเดียวกัน หน่อบุ่น หมายถึงสาวบ้านอื่น)

 
            ตัวอย่างบทอู้สาว
                        คำอู้บ่าวสาว
            ในระยะแรกที่บ่าวไปแอ่วสาว ยังไม่คิดอะไรจริงจัง คำอู้บ่าวสาวจะเป็นไปในทำนอง พูดหยอกเย้ากัน เป็นการคุยโดยทั่วไป คำอู้สาวที่เป็นต้นแบบมาแต่โบราณ เป็นคำคร่าวคำเครือ คือบทพูดที่มีคำคล้องจองกัน เช่น (ไพรถ เลิศพิริยกมล,  ๒๕๑๖, หน้า ๖๙-๗๐)
 

ช.           สลิดสะลักขึ้นต้นตองเตย อ้ายหยังใคร่เคยพี่น้องบ้านหนี้ (เมื่อพูดไปแล้วหากสาว
          ยังไม่พูด บ่าวก็จะพูดต่ออีกว่า)
                สลิดสะลักขึ้นต้นป่าขาม อ้ายคนบ่งามไผบ่ใคร่อู้
ญ.           บ่งามช่างเต๊อะตาน้องตึงหัน ตามทีมันไม้เท้าคนเหล้ม
ช.            สลิดสะลักบ้านนี้หลาย ดอกบ่าคังบ่าคาย บ้านนายมืดตื้อคันน้องจะเหน็บ พี่จะเก็บ
          มาหื้อ สองมือตือ บ่แป้
ญ.           สลิดสลักบ้านน้องถมเถ สัพพะโกเกไผเทบ่ล้ม
ช.            สลิดสะลักขึ้นต้นบ่าแป๋ ติดใจนักแก กลัวแม่เพิ่นห้าม
ช.            ต้นนี้หยังมางามนักหนา กลัวมีเทวดารักษาเฝ้าอยู่
ญ.           ไม้ใหญ่แท้ ทางในกลวง หลวงบ่ดายบ่มีไผป้ำ
ช.            น้ำขุ่นปลาเมา (พูดขึ้นมาลอยๆ)
ญ.           แจ้งดาวขาวเดือน อู้พ่อเรือนตางบ่าว
ช.            หน่อเฮียวอ้ายบ่เคยกิน หน่อบุ่นในดิน เคยกินแต่หน้อย
ญ.           หน่อเฮียวหน่อไม้ เก็บไว้บนหัว ตามืดตามัว ตบหัวซ่วยหน้า
ช.            น้องชอบกินหน่อเฮียวค่าหา
ญ.           บ่าวบ้านเดียวบ่ถ้ามาเคียวใส่น้อง ไว้เป็นเพื่อนฟ้องยามเมื่อมีการ
ช.            ตะคืนนี้ไผนั่งช็อกประตู ใส่เสื้อซูลู เหน็บดอกคำใต้
ญ.           น้องบ่รู้ยู้โทษมาเตง บ่ถึงเดือนเพ็ง ทกตองห่อหนึ้ง
ช.           มีบ่หมีผ่อสีก็รู้ สีเปิดสีเหลือง สีเป็นแม่เรือนติ้วซ้าผ้าอ้อม
ญ.           บ่หมีบ่หมีแท้นาอ้าย
ช.            ไม้ใหญ่แท้ หยังบ่มีผี คนงามคนดีเป็นใดบ่หมีเจ้า
ญ.           คำว่าปากแท้ ในใจบ่ตาม ฟู่เอางามน้ำใสซ่วยหน้า
ญ.           คอนปากว่าแล้ว ก็แล้วทึงใจ ปากว่าจะใดใจก็ว่าจะอั้น
ช.            น้องคนงามอย่างอี้ บ่หมีไผอ้ายตึงบ่เชื่อลอ
ญ.           งามแต้เหมือนแพะยองตอ งามแต้หนอเหมือนตอไฟไหม้
ช.            งามเหลือนี้ตึงบ่มีไผ งามเหลือนี้ไปเป็นแม่พระเจ้า
ญ.           เคี้ยวหมากเต๊อะพลูข้าบ่อหอม บ่มีไผต๋อมเค้ามันบ่อ้วน
ช.            บ้านนี้เปิ้นแมวลี้ ตึงบ่แอมเถา พี่เหน็บดอกเพาเหลือฝิ่นฮ่อ
          (แมวลี้ คือ มีแล้ว บ่แอมเถา คือ บ่อเอาแถม)
ญ.           บ่มีสักนิด บ่ติดสักหน้อยเหมือนตองบัวลอยห่อน้ำ
ช.            เก็บพี่ไว้สักคนเต๊อะ
ญ.           เก็บลูกเปิ้นไว้กลัวลูกเปิ้นผอม บ่มีหยังตอมบ้านน้องกลั้นข้าว

 
                        คำอู้ในเชิงด่ากัน
            มีบ่าวเกเรชอบพูดระราน สาวก็พูดแบบไม่ชอบขี้หน้า พูดกันได้ไม่นาน บ่าวก็จะลงเรือนไป บ่าวที่นั่งหัวบันได เรียกว่านั่งคาบันได ซึ่งสาวไม่ชอบนัด เพราะเป็นการนั่งกันท่าบ่าวคนอื่น
 

ช.           ขอนั่งหนี้สักตัว ขอหนัวหนี้สักวา ถ้าพี่อ้ายเปิ้นนมาลุกหื้อแถมใหม่
ญ.          นั่งเต๊อะๆ บ่ใจ้ที่ไผ ตี้หัวบันไดที่นอนหมาโก้ง
ช.           หมาโก้งหมาหน้อย พี่น้อยบ่หัน มาแอ่วตึงวันนอนหันค่าหมาแม่ด้อง

 
                        คำอู้บ่าวสาว
            เมื่อใช้คำพูดหยอกเอิ้นในวันแรกๆ เมื่อบ่าวรู้ว่าสาวไม่รังเกียจ บ่าวจะมาพูดคุยเป็นประจำ และคำอู้จะค่อยกระชับเข้าไปเรื่อยๆ (ศรีเลา เกษพรหม, ๒๕๔๔, หน้า ๑๒๙)
 

ช.           เดิ้กมามะน้อย น้ำย้อยกาบปลี เจ้าของเปิ้นมีบ่ดีนั่งอู้
ญ.          บ่มีสักนิด บ่ติดสักหน้อย เอาเข็มเขี่ยคอย หน้อยนึ่งบ่ข้อง
ช.           บ้านนี้หยังมาม่วน ผ่อควั่นก็เหมือนเทิง ใคร่มาเลิงหนี้สักหว่าง
ญ.          บ้านนี้ผ่อควั่นก็เหมือนทิ้ง ดักปิ้งเย็นวอย
ช.           เดิ้กมาแล้ว พี่น้องพี่อ้ายนายหนานเปิ้นนมีไหนหา
ญ.          บ่หมีพี่น้องพี่อ้ายนายหนาน บ่าวจีบ่พานพ่อร้างบ่ข้อง
ช.           กันบ่หมีแท้ แน้ช่างติด
ญ.          บ่หมี มีที่ไหน กันมีทึงจะบอกชื่อ จะบอกชื่อหื้อแถมก่อน
ช.           ไม้ใหญ่แท้ในมันก็ตัน บ่หมีคนฟันหล้างมีคนป้ำ
ญ.          ไม้ใหญ่แท้ทางในมันกลวง หลวงบ่ดายบ่มีไผป้ำ

 
            ตัวอย่างคำอู้สาวอีก 2 สำนวน
            ขอยกตัวอย่างคำอู้สาว ๒ ตัวอย่าง ดังนี้ (ไพรถ เลิศพิริยกมล,๒๕๑๖,หน้า ๗๓-๗๖)
 

ช.            อ้ายขอนั่งหนี้สักหน่อยเต๊อะ
ญ.           นั่งเต๊อะนั่งเต๊อะ จะไปนั่งทัดตอ ฟากไหลลงตงจะไหลย้อน
ช.            เตขนจา ถ้าพี่อ้ายปิ้นมาคอยดาแถมใหม่ อดบ่ได้ใคร่เกี้ยวเสียก่อน
ญ.           ขันหมากขันจา น้องดาไว้สู่แก้วเน่อเจ้า
ช.            อ้ายขอเคี้ยวหมากสักคำเน่อ
ญ.           เคี้ยวเต๊อะ เกี้ยวเต๊อะ ปูหนึ้งเมืองเถินบ่กลัวคอเติม เกี้ยวเต๊อะพี่อ้าย
ช.            มาแอ่วบ้านนี้ประตูบ้านเปิ้นหับกาไขหา
ญ.           ประตูบ้านหับประตูเฮือนไข ประตูคันไดใส่แซว่ลวงปิ้น
ช.            กลัวเปิ้นแมวลี้ค่า
ญ.           แมวบ่ลี้ได้กินหนู ปลาเหยี่ยนอยู่รูยังรู้ถูกส้อม
ช.            คันอ้ายมีแล้ว ตึงบ่มาแอ่วสาว จักไว้ผมยาวทรงปกลงหน้า
ญ.           มีนึ่งแล้ว บ่มีแอมแถมสอง ขี่เรือน้ำนองซ้อนสองช่างหล้ม
ช.            หมดซ้อยล้อยเหมือนกลางวิหาร สาวจีบ่พานแม่ร้างบ่ข้อง
ญ.           น้องก็เหมือนกัน หมดซ้อยล้อยเหมือนอ้อยกลางกอ หากาบงอกาบซ้อนบ่ได้
ช.            งามแต๊งามตั๊กงามนักงามหนา เหมือนเทวดาลงมาหล่อเบ้า
ญ.           งามแต๊งามตั๊กงามนักงามหนา มีไหนพ่องชา คนเคิ้นอย่างข้า
ช.            งามอย่างอี้จักหาที่ไหน งามเหลือนี้ไปเป็นแม่พระเจ้า
ญ.           บ่ถ้าอู้เยาะเหมือนเพาะเข้าหนม บ่ใช่ขะโยมโตยก้นทุเจ้า
ช.            เปิ้นหยังมาจ้างเลาะแต๊น่อ
ญ.           ไม้บ่เลาะมันจ่างมีหนาม ถ้าเปิ้นนบ่ถามจะว่าของข้า
ช.            อู้ไปถามมาตึงใคร่เป็นศรัทธาบ้านหนี้
ญ.           อู้ไปถามอยู่ ลางเทื่อเปิ้นละอี่ปู้เปียอีลุงค่า
ช.            อี่นายหองงามแท้ล่อ ผ่อร่างก็แค้วผ่อแอวก็ไหว ยามยกตีนไปเหมือนลวงเหล้นฝ้า
ญ.           ถ้าน้องงามแต๊ก็หล้างได้แต่เมิน บ่เคิ้นเหมือนเก่า บ่เป็นสาวเฒ่าเท้ารอดบ่าเดี่ยว
ช.            เคิ้นยังมีที่ค้าง ร้างยังมีที่เอา เสเลเมาเปิ้นมีที่เอื้อ
ญ.           อ้ายน่าก่างามแต๊งามตั๊ก
ช.            งามแต๊งามตั๊ก งามนักงามหนา มีไหนพ่องชาคนเคิ้นอย่างอ้าย
ญ.           ปากคำใดร่ำไรทั้งเคิ้น เคิ้นเปิ้นนมีที่ค้าง ร้างเปิ้นมีที่หา แม่ป้าน้าอาเปิ้นหาเซาะหื้อ
ช.            มีที่ไหนปอไขบอกปัน หื้อใจจื้นมันแล่งวันและหน้อย
ญ.           มีที่ท่าวัด ที่ทัดหน้าหอ เค้าดอกซอมพอ ท่าวี่ตี้หั้น

 
            อีกบทหรือสำนวนหนึ่ง
            ขอยกตัวอย่างคำอู้สาว ๒ ตัวอย่าง ดังนี้ (ไพรถ เลิศพิริยกมล,๒๕๑๖,หน้า ๗๓-๗๖)
 

ช.            อี่นายขอเคี้ยวหมากสักคำเทอะ
ญ.           เคี้ยวเทอะเคี้ยวเทอะ พลูขึ้นต้นปอ คอนเคี้ยวบ่พอค่อยเมือเคี้ยวบ้าน
ช.            อ้ายขอนั่งหนี้สักตัว ขอหนัวหนี้สักวา อ้ายเพิ่นยังบ่มา เมาไปคารูปูอยู่ค่า
ญ.           บ่มีพี่น้อย พี่อ้ายหนานเถา คนดิบบ่เลายังหาบ่ได้
ช.            กลัวเพิ่นบ่ว่าแท้ มันบ่แนสาย กินปลาบ่ดายบ่กลัวเป็นด้อยคาหา
ญ.           คืนนั้นมันเป็นไผ จามๆไอๆคืนรุ่งเท้าแจ้ง
ช.            บ่หมี คันข้ามีจะมัดติดหลัง จะคังติดแหล่ จะแห่ขึ้นคลองทุบมองทุบแซ่
ญ.           ไม้ใหญ่แท้ทางในมันกลวง หลวงบ่ดายบ่มีไผป้ำ
ช.            อี้ว่าบ่หมี ผ่อสีก็รู้ เหน็บดอกบ่าคู้ซอนใบ ที่ว่าบ่นัก บ่สองก็สาม ที่ว่าบ่งามบ่สามก็ห้า
            มาผ่อตัวข้า   เจ้าจันวันทาตัวข้าชาติเคิ้น
ญ.           เคิ้นตายช่างเทอะ บ่าวบ่อเอาสาว เคิ้นสิบเคิ้นซาว เคิ้นตายช่างอ้าย
ช.            น้องหยังมางามแท้ว่า เพิ่นกินทานใดชาชาติแล้ว ถ้าจะกินชิ้นทานปลา บ่ริก็มาบ่หาก็ได้
ญ.           อย่างอี้ว่างามคา ถ้างามหล้างได้แต่เมินแต่เช้า บ่เป็นสาวเฒ่าเท้ารอดบ่าเดี่ยว
ช.            เฒ่าผักกุ่ม หนุ่มผักจี เฒ่าได้เฒ่ามีเฒ่าแท้บ่ร้าย
ญ.           เฒ่าก็เฒ่า ย้งก็ย้ง ตีสันหลังพอดังก้งๆเหมือนรอกควาย เมื่อแล้ง
ช.            ว่าเผื่ออ้ายค่า
ญ.           เดิ้กมามอกอี้ เป็นดีใคร่หัน ชู้รักแพงพัน หลานชายแม่เถ้า
ช.            บ่หมีแท้นาอ้าย ไก่เข้าเล้าบ่ทันสุดเรียว บ่าวบ้านเดียวบ่ทันได้แอ่ว
ช.            นั้งก็เป็นบุก ลุกก็เป็นโหล เผียบเหมือนปิ่นโต ซ้อนมาแต่ใต้
ญ.           หมดสะหมดสาง เหมือนกลางข่วงวัด เหมือนกลางข่วงแก้วอาราม หมดหละหมดลึ้ง
           เหมือนพื้นวิหาร บ่าวจีบ่พานพ่อร้างบ่ข้อง
ช.            คำว่าปากว่าแท้ในใจบ่ตาม ฟู่เอางามน้ำใสซ่วยหน้า
ญ.           คำปากว่าแล้วก็แล้วทึงใจ บ่าตืนสุกใน แล้วทึงบ่าต้อง
ช.            ปากว่าใน ใจว่านอก น้ำอ้อยพอกสะเลียม
ญ.           แต้ๆนาน้องบ่เคยจุ ไผสักเตื้อ กลัวอ้ายจุน้องอ้าก่า
ช.            จุน้องยังบ่ช่าง จะมาจุสาวซ้ำร้ายค่า
ญ.           กลัวเพิ่นจุไปขายบ่ดายแลกกล้วย จุไปตวยแลกกล้วยแลกร้า
ช.            บ่จุไปขายบ่ดายแลกร้า ตัวแห่งข้าจุเอา
ญ.           วันนี้บ่ท้าวันหน้ามาแถม เดือนออกเดือนแรมเมื่อใดก็ได้

            ถึงตอนนี้บ่าวก็รู้แล้วว่า สมควรกลับก่อนเพราะดึกมากแล้ว สาวอาจจะมีงานที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ จึงลากลับด้วยคำว่า
            ลาก่อนเทอะแม่ดวงจุมปี ขอลาไปดีกว่าอย่าเล่าขวัญข้า  เมื่อถึงถนนบ่าวอาจจะช้อยลาว่า เดิ้กมามะน้อย  น้ำย้อยปลายกอน ขอหื้อนายนอน  ฝันดีเน้อเจ้า
 
หนุ่มสาว ตัวพ่อ/ตัวแม่

            แม่ครูจันทร์สม สายธารา (สัมภาษณ์, ๓ ธันวาคม ๒๕๕๑) ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-ขับซอ) กล่าวว่า หลังจากพูดคุยกันพอดึก ถ้าบ่าวคนนั้นไม่ใช่คนที่สาวชอบ สาวก็จะหาคำพูดมาตัดพ้อให้บ่าวรีบลงไปจากเรือน รีบตัดไมตรี เพราะช่วงประมาณ ๔ ทุ่มเป็นต้นไป เป็นช่วงที่คู่หมายของสาวหรือแฟนตัวจริงจะมาหา เรียกว่า ตัวพ่อ (อ่านว่า ตั๋วป้อ) ส่วนผู้ชายจะเรียกผู้หญิงว่า ตัวแม่ บางทีอาจคุยกันจนถึงสว่าง และคุยกันโดยไม่ใช้คำคร่าวคำเครือ แต่จะพูดคุยกันด้วยถ้อยคำธรรมดา
 
 
 
Northern Thai Information Center (NTIC),
Chiang Mai University Library in collaboration with Information Technology Service Center
239 Huay Kaew Rd., Mueang District, Chiang Mai, Thailand 50200
Tel: +66 (0) 5394 4514, +66 (0) 5394 4517 email: ntic@lib.cmu.ac.th
Copyright © 2009-2016 Chiang Mai University. All Rights Reserved.